การพยาบาลวิสัญญี
วิสัญญีวิทยาเป็นวิชาที่ต้องประยุกต์ใช้ความรู้กว้างขวางทั้งทางกายวิภาค เภสัชวิทยา สรีรวิทยา ฟิสิกส์แลพยาธิวิทยาของอวัยวะต่างๆทั้งยังต้องทราบจุดประสงค์และการรักษาของศัลยแพทย์ทุกสาขาที่ผ่าตัดผู้ป่วย(เช่น สูติแพทย์ ประสาทศัลยแพทย์ ศัลยแพทย์ทั่วไป จักษุแพทย์)
วิสัญญีแพทย์ต้องเข้าใจว่าแต่ละโรคทำให้เกิดความผิดปกติอะไรบ้าง ต้องผ่าตัดทำอะไรใช้เวลานานเพียงใด จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดเกิดขึ้นกับผู้ป่วยตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด ระหว่างการผ่าตัดและหลังการผ่าตัด ซึ่งวิสัญญีแพทย์จะสามารถช่วยให้ความปลอดภัยให้เกิดอันตรายน้อยลงหรือช่วยบรรเทาทุกขเวทนาได้
http://www.healthcarethai.com/wp-content/uploads/health180.jpg
หน้าที่ของวิสัญญีแพทย์
วิสัญญีแพทย์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม “หมอดมยา” มีหน้าที่หลักคือให้การระงับความเจ็บปวดแก่ผู้ป่วยในระหว่างการผ่าตัด
คนทั่วไปอาจเข้าใจว่าเมื่อเข้ามาในห้องผ่าตัดแล้วจะได้รับการ “ดมยา” จนหลับใหล ไม่รู้สึกตัว อันที่จริงการระงับความเจ็บปวดอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ
แบบหนึ่งให้ยาสลบทั้งตัว คือทำให้หมดสติ
และอีกแบบหนึ่งให้ยาชาเฉพาะที่ทำให้บริเวณที่ทำผ่าตัดไม่รู้สึกเจ็บปวด
โดยผู้ป่วยไม่หมดสติวิสัญญีแพทย์ในปัจจุบันยังดูแลผู้ป่วยนอกห้องผ่าตัดอีกด้วย
เช่น ดูแลผู้ป่วยหนักที่อยู่ในขั้นวิกฤต ในหออภิบาล
อยู่ในทีมช่วยกู้ชีวิตให้ฟื้นคืนชีพ
ให้การระงับความเจ็บปวดเรื้อรังในผู้ป่วยมะเร็ง รับปรึกษาเรื่อง
การใช้เครื่องช่วยหายใจ และเปิดทางหายใจ ช่วยลดความกังวลหรือความหวาดกลัวในการทำฟันและการตรวจต่างๆ
เป็นต้น
แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ
1. ก่อนผ่าตัด ทีมวิสัญญีจะวางแผนการให้การระงับความรู้สึกแก่ผู้ป่วยทุกราย วิสัญญีแพทย์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมจะเลือกวิธีการให้เหมาะสมกับสุขภาพของผู้ป่วยและ
การผ่าตัด ก่อนผ่าตัดวิสัญญีแพทย์จะเยี่ยมผู้ป่วยเพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติได้ซักถามข้อสงสัย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยเข้าใจและพร้อมที่จะรับการระงับความรู้สึกและการผ่าตัด
2. ระหว่างผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการระงับความรู้สึกโดยวิธีดมยาสลบหรือฉีดยาชา เฉพาะส่วน หรือฉีดยาชาเฉพาะที่ ตามความเหมาะสม
ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา โดยทีมวิสัญญีและมีการติดตามการทำงานของร่างกายด้วยอุปกรณ์ทันสมัย เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ความดันเลือด และระดับออกซิเจนที่ปลายนิ้ว จนกว่าการผ่าตัดจะเสร็จสิ้น
เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้น ทีมวิสัญญีจะให้การรักษาและแก้ไขจนกว่าผู้ป่วย จะปลอดภัย
3. หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลในห้องพักฟื้นนาน 1-2 ชั่วโมง หรือจนปลอดภัย จึงย้ายกลับหอผู้ป่วยหรือกลับบ้าน ทีมวิสัญญีจะติดตามดูผู้ป่วยในห้องพักฟื้น หากผู้ป่วยเริ่มรู้สึกปวดจะได้รับการบำบัดให้ทุเลาลง ถ้ามีเหตุอันใดที่อาจทำให้ผู้ป่วย เป็นอันตราย ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่หอผู้ป่วยหนักหรือหออภิบาล (ไอซียู) จนผู้ป่วยปลอดภัย
วิธีการระงับความรู้สึก
1. การดมยาสลบ เป็นวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยหมดสติ
ไม่รู้สึกตัว และไม่เจ็บตลอดการผ่าตัด ผู้ป่วยจะหลับด้วยฤทธิ์ยาสลบที่ให้ทางหลอดเลือดดำ
บางครั้งอาจให้ยาสลบโดยการสูดดมผ่านหน้ากาก
ร่วมกับออกซิเจน ให้การช่วยหายใจผ่านทางท่อที่ใส่ไว้ในหลอดคอ ให้ยาหย่อนกล้ามเนื้อเพียงพอที่จะทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น
ทีมวิสัญญีจะดูแล
และควบคุม การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้เป็นปกติตลอดการผ่าตัด
และควบคุม การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้เป็นปกติตลอดการผ่าตัด

http://www.si.mahidol.ac.th/department/Anesthesiology/home/knowledge_04.htm
2. การทำให้ชา วิธีนี้ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาชาโดยไม่สลบถ้าผู้ป่วยยังมีความกังวลก็จะได้รับยาเพื่อลดความกังวลหรือความเครียดในระหว่างผ่าตัด
การทำให้ชานี้มี 3 วิธี คือ
2.1 การ "บล๊อคหลัง" คือการทำให้ชาบริเวณกลางลำตัวไปจนถึงขาทั้ง 2 ข้าง วิธีนี้ เหมาะสำหรับการผ่าตัดตั้งแต่เอวลงไป เช่น การผ่าตัดคลอด และผ่าตัดช่องท้อง ส่วนล่าง
การทำให้ชานี้มี 3 วิธี คือ
2.1 การ "บล๊อคหลัง" คือการทำให้ชาบริเวณกลางลำตัวไปจนถึงขาทั้ง 2 ข้าง วิธีนี้ เหมาะสำหรับการผ่าตัดตั้งแต่เอวลงไป เช่น การผ่าตัดคลอด และผ่าตัดช่องท้อง ส่วนล่าง
2.2 การฉีดยาชารอบเส้นประสาทหรือกลุ่มประสาท
วิธีนี้ทำให้เกิดอาการชา ในบริเวณที่เลี้ยงโดยเส้นประสาท ซึ่งจะใช้สำหรับการผ่าตัดที่มือ
แขน หรือเท้า
2.3 การฉีดยาชาเฉพาะที่ คือ การฉีดยาชาใต้ชั้นผิวหนังตรงบริเวณที่จะได้รับการผ่าตัด
วิธีนี้มักใช้สำหรับการผ่าตัดเล็ก ผู้ป่วยจะมีอาการชาและไม่เจ็บขณะการผ่าตัด อาจใช้วิธีการทำให้ชาร่วมกับการดมยาสลบ
เพื่อลดอาการปวดแผลในระยะหลังผ่าตัด


http://www.si.mahidol.ac.th/department/Anesthesiology/home/knowledge_04.htm
เทคนิคการทำให้ชานี้แม้ผู้ป่วยจะไม่หมดสติในระหว่างการผ่าตัด ทีมวิสัญญีก็ต้อง
เฝ้าระวังและดูแลผู้ป่วยให้ปลอดภัยตลอดการผ่าตัดเช่นเดียวกับการดมยาสลบ วิธีนี้
ผู้ป่วยจะยังมีอาการชาและไม่สามารถเคลื่อนไหวบริเวณดังกล่าวต่อไปอีก 1-3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นผลดีเพราะทำให้เจ็บแผลน้อยกว่าการดมยาสลบ
อาการชาและเคลื่อนไหวไม่ได้จะค่อยๆหมดไปเมื่อฤทธิ์ของยาชาค่อยๆหมดไป
จะมีอันตรายหรือภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ ?
การผ่าตัดและการระงับความรู้สึกทุกวิธี
มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้เสมอ
บางครั้งอาจมีอันตรายถึงชีวิตแม้จะเลือกใช้วิธีการระงับความรู้สึกที่ดีที่สุดที่ได้มาตรฐานสากล รวมทั้งมีการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
ด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทันสมัยแล้วก็ตาม
เนื่องจากยาระงับความรู้สึกมีผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกายหลายระบบ
ประกอบกับการผ่าตัดมีผลกระทบต่อร่างกาย
อาจมีการเสียเลือดและสารน้ำมีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายรวดเร็วและเฉียบพลันตาม
ความรุนแรงของโรคและการผ่าตัดทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่ออันตรายหรือภาวะ
แทรกซ้อนได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพและความแข็งแรงของผู้ป่วยและชนิดของการผ่าตัดว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดของทีมวิสัญญี
จะป้องกันอันตรายที่อาจจะ เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้ แต่อย่างไรก็ตาม
บางสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ภาวะ ช็อค หัวใจหยุดเต้น ความดันเลือดต่ำ ขาดออกซิเจน
ภาวะติดเชื้อรุนแรง การสำลักเศษอาหารหรือน้ำย่อยเข้าปอด
แพ้ยาสลบหรือยาที่ให้ระหว่างผ่าตัด
ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงเล็กน้อย
อาจเกิดขึ้นบ่อย (10-30%)แต่ไม่เป็นอันตราย ได้แก่ คลื่นไส้
อาเจียน เจ็บคอ ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ฟันโยก ฟันบิ่น แขนขาอ่อนแรงชั่วคราวหลังการฉีดยาชา และเจ็บปวดแผลผ่าตัดมากกว่าปกติ
อ้างอิงจาก : http://www.healthcarethai.com
http://www.si.mahidol.ac.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น